ทริปนี้เกิดจากการที่ประเทศจีนเปิดฟรีวีซ่า แล้วนี่ก็เลิฟเอนเนอร์จี้ของพี่จีนเค้ามากๆ หลังจากที่ได้ไปเมืองเซียงไฮ้ และฉางซามาก่อนหน้านี้ เลยอยากมาสัมผัสกับเมืองหลวงของเค้าซะหน่อย ที่นี่คือ “กรุงปักกิ่ง” หลายคนมักจะพูดว่าที่นี่คือเมือง 2 กาลเวลาที่ผสมผสานกันอย่างกลมกล่อมลงตัว เมืองทางตอนเหนือของประเทศที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น แถมยังเป็นเมืองที่มีมรดกโลกตั้งอยู่มากที่สุดของจีนถึง 7 แห่ง นั่นก็คือ พระราชวังต้องห้าม / พระราชวังฤดูร้อน / หอสักการะฟ้าเทียนถัน / สุสานราชวงศ์หมิง / กำแพงเมืองจีน / คลองใหญ่ปักกิ่ง-หางโจว / แหล่งขุดค้นทางโบราณคดีมนุษย์ปักกิ่งโจวโข่วเตี้ยน
เราเดินทางช่วงปลายกันยายน 2024 อากาศกำลังเย็นสบายเข้าใกล้ฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 12 – 25 องศา เรียกได้ว่าแต่งตัวสนุกเลยละ โดยทริปนี้เราจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวให้ทั่วตัวเมืองปักกิ่งบวกออกนอกเมืองไปนอนเมืองน้ำโบราณกู๋เป่ย ตามมาเที่ยวไปพร้อมๆกันเลย
The Forbidden City
พาไปเยือนที่แรกคือพระราชวังสุดยิ่งใหญ่แห่งแดนมังกรพระราชวังต้องห้ามหรือพระราชวังกู้กง 紫禁城 สถานที่ทางประวัติศาสตร์ของจีนที่มีอายุยาวนานหลายร้อยปีและถูกยกให้เป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลก !!
เราอยากคอนเฟิร์มอีกเสียงว่าของจริงมันใหญ่โตอลังการและประณีตในทุกมุม สมกับที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO จริงๆนะ
การเดินทาง : MRT สาย 1 ลงสถานี Tian’anmendong ทางออก A
ตั๋วเข้าชม : จองล่วงหน้า 7 วัน ผ่าน https://bookingticket.dpm.org.cn ราคา ¥60 (ประมาณ 300 บาท)
ช่วงเวลาเข้าชมวันละ 2 รอบ : รอบเช้า 8.30 – 12.00 น. / รอบบ่าย 11.00 – 16.00 น. อยู่ถึงปิดได้เลย **ปิดวันจันทร์
**อย่าลืมพก Passport ตัวจริงไปใช้ยืนยันตั๋วเข้าชมด้วยน๊า
มาถึงก็เข้าทางประตูอู่ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของพระราชวัง จะมองเห็นเจ้ามีกำแพงสีแดงขนาดใหญ่ล้อมรอบเป็นทางเข้าเราต้องใช้พาสปอร์ตสแกนเข้าไปด้านใน ง่ายมาก
หลังจากที่เพื่อนๆเดินเข้ามาด้านในจะเจอกับลานกว้างๆและมุมจินฉุยเหอ (แม่น้ำทองคำ) ที่ดูแปลกตา โดยตัวแม่น้ำจะไหลคดเคี้ยวไปรอบ ๆ ฝั่งตะวันตกและฝั่งใต้ของพระราชวังต้องห้ามสามารถแวะถ่ายรูปจุดนี้ได้เลย เราว่าสวยดีแฮะ! สมัยก่อนเค้าห้ามปลูกต้นไม้แหละกลัวคนมาแอบแล้วรอบทำร้ายเหล่าราชวงศ์ พอมีแม่น้ำเข้ามาก็ทำให้พระราชวังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย
นี่คือพระตำหนักไท่เหอเตี้ยน (The Hall of Supreme Harmony) ถือเป็นศูนย์กลางของ พระราชวังต้องห้าม ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานส่วนนอก ในอดีตเค้าจะใช้ที่นี่ประกอบพิธีสำคัญต่างๆของราชวงศ์งี้
ยิ่งเดินเข้ามายิ่งรู้สึกว้าว และทึ่งในความอลังการรวมถึงความปราณีตของลวดลายทุกๆอาคาร มีความคุมโทนแดงอร่ามไปหมด
ด้านหน้าของพระตำหนักชินอันเตี้ยน (Hall of Imperial Peace) จะเป็นลานโล่งๆ เมื่อเทียบกับตัวคนก็คือดูเล็กไปเลยละ
ด้านหลังสุดคือสวนอวี้ฮัวหยวน มีขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่ก็เพียงพอต่อการมานั่งเล่นชมวิวสีเขียวๆ ซึ่งเราสามารถออกทางฝั่งนี้ได้เลยไม่ต้องเดินย้อมกลับ ค่อยโล่งใจหน่อย กว่าจะเดินมาถึง 555
เดี๋ยวเราจะเดินไปต่อที่อาคารบนเขาสูงๆในรูปนี่ละ จะพาไปมองดูพระราชวังเต็มๆกัน
นี่คือจุดชมวิวสวนจิงชาน 景山公园 ที่ต้องเดินข้ามถนนมาอีกฝั่งทางด้านหลังของพระราชวังแล้วเดินต่อขึ้นมาด้านบน มองลงมาจะเห็นว่าตัวพระราชวังถูกสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีพื้นที่ใหญ่โตถึง 720,000 ตารางเมตร (450 ไร่) ฉันเหนื่อยมากแก ว่าจะเดินหมด แต่สวยยอม 555
ค่าเข้า : Jingshan Park 景山公园 : 10 หยวน (50 บาท) ซื้อหน้าทางเข้าได้เลย
Tian Tan Temple of Heaven
ต่อกันที่หอฟ้าเทียนถาน 天坛 หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดในปักกิ่ง เป็นสถานที่บูชาและบวงสรวงที่ใหญ่ที่สุดในโลก อายุราวๆ 600 ปีแล้ว แถมยังได้ขึ้นเป็นมรดกโลกในปี 1998 อีกด้วยนะ
เราวางแพลนที่นี่ไว้เช้าตรู่เพราะอยากได้ภาพสวยๆแบบไม่ติดคน ยอมตื่นตี 5 เพื่อสิ่งนี้ 555
เราจองตั๋วผ่าน WeChat สแกน QR Code หน้าทางเข้าแล้วกดจองพร้อมจ่ายเงิน ณ ตอนนั้นเลยก็จะได้ตั๋วแบบออนไลน์ใช้สแกนเข้ามาด้านใน เดินตามป้ายต่อมาไม่ต้องกลัวหลง ถ้าเข้าทางประตูทิศตะวันออกจะเดินผ่านสวนสีเขียวเห็นตำหนักสักการะจากมุมไกลๆ
เข้ามาด้านในจะเจอกับตำหนักฉีเหนียนเตี้ยนหรือตำหนักสักการะ (ทางเหนือ) ตั้งเด่นๆอยู่กลางลาน ซึ่งที่นี่ถือได้ว่าเป็นตำหนักหลักที่ใช้ประกอบพิธีต่างๆ ชาวเมืองเชื่อกันว่าสวรรค์มีรูปร่างเป็นทรงกลม เลยสร้างที่นี่ให้เป็นแบบนั้น ยิ่งได้มาเห็นของจริงยิ่งชอบสร้างได้อลังการมากๆ
ความว้าวอีกอย่างคือวิธีการสร้างเค้าใช้เสาจากต้นไม้ต้นเดียว โดยไม่ใช้ตะปูแม้ซักตัว ที่ปลายยอดหลังคาประดับลูกแก้วกลมสีทอง
อีกมุมที่ถ่ายรูปสวยไม่แพ้กันคือจากหลังกำแพงสีแดง แถมมุมนี้ไม่ต้องแย่งกับใครด้วย 555 ชอบตรงที่มีไอศกรีมเป็นรูปตำหนักขายน่ารักดีแฮะ
ไปต่อที่ตำหนักหวงฉุงหยีว์หรือตำหนักเทพสถิต เป็นทรงกลมชั้นเดียวมุงกระเบื้องสีน้ำเงิน ที่นี่ใช้สำหรับเป็นที่ประดิษฐานแผ่นป้ายของเทพเจ้าที่ใช้ในการสักการะบวงสรวงฟ้าหรือสวรรค์ จุดนี้ไม่ค่อยมีอะไรมากเป็นพื้นที่เล็กๆ
จุดสุดท้ายที่เราจะพาไปชมคือ “หยวนซิวถาน” หรือแท่นบวงสรวงฟ้า (ทางใต้) เป็นแท่นบวงสรวงบนเนินรูปวงกลมโล่ง นักท่องเที่ยวมักจะเดินขึ้นไปขอพรที่แผ่นหินรูปทรงกลมซึ่งเป็นตัวแทนของหัวใจแห่งฟ้าด้านบน
การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดิน Line 5 สถานีปลายทาง Tiantan dongmen ทางออก A1 ใกล้กับประตูทางตะวันออก
ตั๋วเข้าชม : ซื้อผ่าน WeChat แสกน QR Code ด้านหน้าทางเข้าหรือซื้อที่เคาเตอร์ ราคา ¥34 ( 170 บาท)
เวลาเปิด : โซนหอสักการะฟ้าเทียนถัน 8.00 น.- 22.00 น. / โซนสวนเปิด 6.00 น.
Qianmen Street
วาปมาหาผู้คน แสงสีและของกินกันบ้างดีกว่า ที่นี่คือถนนเฉียนเหมิน 前门大街 เรียกได้ว่าเป็นถนนสายวัฒนธรรมแห่งกรุงปักกิ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 600 ปี สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าร้านอาหาร และคาเฟ่ ความยูนีคของถนนเส้นนี้คือตัวอาคารต่างๆจะเป็นจีนโบราณบวกรถรางปุ๊กปิ๊กวิ่งผ่านไปมาใจกลางตลาด
เพื่อนๆสามารถมาเดินเล่นหาของกินได้ตั้งแต่ช่วงสายๆของวันไปจนถึงเย็น คนคึกคักตลอด ซึ่งภายในตลาดก็จะมีซอกซอยให้เราเดินเข้าไปได้เรื่อยๆเช่นกัน อย่างวันที่เราไปเจอเค้าจัดงานออกบูทพอดี มีพวกของที่ระลึกมาวางขาย
การเดินทาง : Mrt สาย 8 ลงสถานี Qianmen ทางออก I
เวลาเปิด-ปิด : เปิดสายๆไปจนถึงค่ำ
แวะจิบกาแฟซักแมทช์ ชีวิตขับเคลื่อนด้วยสิ่งนี้ 555 นี่คือร้าน People Cafe ตัวร้านสีแดงสดมีเอกลักษณ์เป็นผู้ชายชูมือนี่ละ เค้าเป็นใครกันนะ ใครรู้บอกหน่อย ?
ด้วยความที่คิดมาแล้วว่าอยู่โซนนี้สะดวกแน่ๆใกล้รถไฟฟ้าใกล้แหล่งของกินเราเลยจองที่พักของทริปนี้บนถนนสายนี้ไปเลย 555
ที่พักเราชื่อ Citigroup Hotel Beijing Tian’anmen Square โอเคเลยนะ สะอาด สะดวก แถมพนักงานบริการดี
อีกร้านที่อยากแนะนำตั้งอยู่บนถนนเฉียนเหมินเป็นแนวคาเฟ่จีนๆ Da Nei Gong Bao Cafe ตัวคาเฟ่จะตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของตึกสีแดง Lian Sheng Li shoe ด้านล่างคือร้านขายรองเท้า
ตัวร้านมีขนาดไม่ใหญนักแต่มีพวกเครื่องดื่มเก๋ๆให้สั่งมาจิบบวกกับวิวตึกโบราณด้านนอกก็สวยดีนะ
การเดินทาง : ลงรถไฟใต้ดินสถานี Qianmen Station ทางออก C แล้วเดินทางทิศใต้ 400 เมตร
เวลาเปิด – ปิด : เวลา 9:00 – 20:30 น.
พิกัด : https://j.map.baidu.com/09/vMJi
ไม่ไกลจากย่านตลาดเราพามากินร้านเป็ดปักกิ่งสุดเก่าแก่และโด่งดังชนิดที่ว่ามีเก้าอี้เรียงรายให้นั่งรอต่อแถวด้านหน้าร้าน มีนักแสดงดังๆของจีนหรือแม้แต่เหล่าราชวงศ์ของไทยก็เคยแวะเวียนมาทานกัน ส่วนตัวเราว่ารสชาติโอเคเลยเนื้อเป็ดหอมกลิ่นเตาฝืน แถมราคาน่ารัก สั่งเป็ด 1 ตัวแบ่งได้เป็ด 2 จานใหญ่ๆ แนะนำให้สั่งพวกเครื่องเคียงอื่นๆมาทานคู่ตัดเลื่อน
การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินมายัง สถานี Qianmen Station แล้วเดินต่อมาที่ร้าน หรือเรียกแท็กซี่มาได้เลย
พิกัดร้าน : https://maps.app.goo.gl/uGr1aar5ucthHhwY6
Gubei Water Town
พาออกนอกเมืองมาเที่ยวต่อกันที่เมืองน้ำโบราณกู๋เป่ย 古北水镇 ซึ่งรีวิวแบบละเอียดของที่นี่เราแยกไว้ให้แล้วนะ
……
เล่าคร่าวๆว่าที่นี่อยู่ใกล้ปักกิ่งแค่ 2 ชม. ภายในตัวหมู่บ้านเต็มไปด้วยจุดถ่ายรูป ร้านค้า ร้านอาหาร รวมถึงคาเฟ่ต่างๆให้มาชิล แถมยังเป็นจุดขึ้นกำแพงเมืองจีนด้านซือมาไถ
วิธีการเดินทางจากตัวเมืองปักกิ่ง
1. นั่งรถบัสสาธารณะ คนละ 48 หยวน (240 บาท) ใช้เวลาเดินทาง 2 ชม. 15 นาที
ขาไป 2 รอบคือ 9.00 น. และ 13.00 น. / ขากลับ 2 รอบ คือ 12.00 น. และ 17.00 น.
**สถานี DONGZHIMEN ทางออก E เดินต่ออีกนิดหน่อยถึงจุดจอดรถบัส (รถบัสสีน้ำตาล)
2. เหมารถ Taxi ราคาประมาณ 2,400 บาท/เที่ยว เรียกผ่าน DiDi
ค่าเข้าหมู่บ้านราคา ¥80 (400 บาท) **ถ้าเพื่อนๆพักที่นี่สามารถนำค่าเข้าไปเป็นส่วนลดขึ้นกำแพงเมืองจีนจาก ¥200 เหลือ ¥120 ต่อคน
หลายคนเห็นภาพที่นี่อาจจะคิดว่าเป็นหมู่บ้านเก่าแก่อายุหลายร้อยปี แต่จริงๆแล้วทางพี่จีนเค้าสร้างขึ้นมาใหม่นะ คงคอนเส็ปการออกแบบให้ฟีลคล้ายหมู่บ้านจีนโบราณในบรรยากาศสบายๆ คนไม่เยอะ มีมุมให้ถ่ายรูปเล่นเยอะเลย เตรียมชุดสวยๆมาคือจบ
ภายในหมู่บ้านเมืองน้ำโบราณกู๋เป่ยยังมีบ่อแช่ออนเซน ทั้งแช่ตัวและแช่เท้า มีโชว์น้ำพลุดนตรี บินโดรนแปลอักษรที่บอกเลยว่าห้ามพลาด อันนี้สวยมาก
นี่เดินเล่นเดินกินสุด อากาศดีแล้วสบายใจ แถมเรานอนที่นี่ไม่ต้องเร่งรีบอีกด้วย
เราพักที่ Ancient Village Inn อยู่ใจกลางหมู่บ้าน เดินทางสะดวก แถมห้องดี วิวสวย มีอาหารเช้าให้ ราคาตกคืนละ 3,000 นิดๆ จองผ่าน Trip.com แหละ
เย็นวันนี้เรามีนัดข้นกำแพงเมืองจีนช่วงเย็น ด้านหลังเราคือจุดซื้อตั๋วขึ้นกำแพงเมืองจีนด่านซือหม่าไถ ราคา ¥200 (1,000 บาท) **ถ้าเพื่อนๆพักที่นี่สามารถนำค่าเข้าหมู่บ้าน ¥80 ที่จ่ายในตอนแรกไปเป็นส่วนลดขึ้นกำแพงเมืองจีนจาก ¥200 เหลือ ¥120 ต่อคน (600 บาท)
เราต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบน ระหว่างทางมองกลับมาจะเห็นหมู่บ้านและแนวเส้นของกำแพงเมืองจีน
การขึ้นไปชมกำแพงเมืองจีนรอบเย็นที่เราไปจะเปิดให้เช็กอินตั้งแต่ 18:00 – 21:40 น. และต้อนคนลงจากกำแพงเมืองจีนตอน 22:40 น. ( แต่ละฤดูกาลเวลาจะแตกต่างกัน ) ยิ่งฤดูหนาวเย็นมืดไว
ทาด้าม! ถึงแล้วกำแพงเมืองจีน อีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในที่สุดก็ได้มาหาซักที ด่านที่เรามาเป็นด่านกำแพงเมืองจีนที่ยังคงสภาพเดิมตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงเอาไว้ แถมยังเป็นด่านที่อันตรายที่สุดเพราะสองข้างไม่มีกำแพง เพื่อนๆอาจต้องใช้ความระมัดระวังกันนิดนึงนะ นี่มาถึงตอน 6 โมงนิดๆ แสงกำลังสวยเลย
ความว้าวคือเจ้ากำแพงนี่ความยาวถึง 21,196.18 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศจีน โอ้โห! สมัยนั้นสร้างกันยังไงเนี้ย น่าทึ่งมาก
พนักงานจะเอาตะเกียงมาจุดสองสว่างตลอดทาง สามารถเอามาเป็นพร็อบถ่ายรูปได้ จุดที่เราถ่ายรูปตรงนี้คือป้อมหมายเลข 5 มองลงมาเห็นหมู่บ้านที่เปิดไฟสว่างไสว เจอโมเม้นต์แบบนี้ความเหนื่อยที่เดินมาหายเกลี้ยง
จริงๆถ้ามาถึงตอนยังไม่ค่ำ ตรงนี้จะสามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนที่ไต่ไปตามสันเขาได้แบบยาวๆ เสียดายจัง
เราอยู่ด้านบนกันจนเกือบ 2 ทุ่ม คนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ อากาศก็ลดต่ำลง คิดว่าคงต้องถึงเวลากลับแล้วละ บ๊าย!
Shichahai
กลับเข้ามาที่ตัวเมืองปักกิ่งวันนี้เราพามาเดินเล่นกันที่ย่านฉือชาไห่ 什刹海 ย่านการค้าสุดคึกคักมีทะเลสาบ Qianhai Lake (เฉียนไห่)前海湖 เป็นพระเอกของที่นี่ยิ่งถ้ามาช่วงเย็นๆบรรยากาศดีมีเรือแล่นผ่าน และคนก็เยอะสุดๆเช่นกัน
การเดินทาง : ลงรถไฟใต้ดินสถานี shichanhai ทาง A1 หรือ A2 เดินต่อ 100 เมตร ขึ้นไปทางหอกลอง
ที่นี่เป็นสถานที่ของหนุ่มสาวมาพักผ่อนหย่อนใจรอบๆทะเลสาบ เดินเล่นหาของกินตามตรอกซอกซอย หรือแม้กระทั่งกิจกรรมปั่นเรือเป็ดเค้าก็มีเช่นกัน ละแวกนี้เต็มไปด้วยร้านอาคารและคาเฟ่ซึ่งคนแน่นทุกร้านจ้า เราเลยเลือกที่จะเดินหาของแทนแบบยืนกินหน้าร้านได้เลยแทน
เดินเล่นมาเรื่อยๆเราตรงสะพานว่านหนิง (万宁桥) ก็เจอกับวัด Fire God Temple (火德真君庙) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “วัดเทพเจ้าแห่งไฟ” เป็นวัดลัทธิเต๋า ซึ่งในช่วงรัชสมัยของราชวงศ์เฉียนหลงมักจะเกิดไฟไหม้และทำให้พวกภาพวาด งานเขียนอักษร สมุดคัดลายมือที่อยู่ในร้านหนังสือเสียหาย จักรพรรดิจึงรับสั่งให้สร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อขอพรต่อเทพเจ้าแห่งไฟให้คุ้มครองนั่นเอง
ตัววัดตั้งอยู่ติดถนนใหญ่เลย เพื่อนๆสามารถแวะมาชมความงามได้นะ
Summer Palace
จุดหมายถัดไปคือสถานที่ที่กินพลังงานจากเราไปได้เยอะสุดนั่นก็คือ พระราชวังฤดูร้อน颐和园 พื้นที่เค้าใหญ่มากคุณ ใหญ่จนเราเองก็ถอดใจไปหลายครั้ง 555 ที่นี่เป็นพระราชวังกึ่งอุทยานที่สวยที่สุดในกรุงปักกิ่ง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกและนับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 5A ของจีน ที่มีอายุราว 800 ปีแหนะ แถมยังมีเรื่องเล่ามากมาย พร้อมจะฟังกันยัง ?
มาเริ่มจากภาพนี้บริเวณทะเลสาบคุนหมิงซึ่งมีขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 3 ใน 4 ของพระราชวังฤดูร้อน ดูเผินอาจจะคิดว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติใช่ไหมละ แต่เปล่าเลยทั้งหมดเกิดจากการขุดเจาะด้วยมือมนุษย์ล้วนๆ และนำดินที่ขุดได้ทั้งหมดไปถมเป็น “ภูเขาว่านโซ่ว” Wanshou Shan ซึ่งเป็นที่ตั้งขอหอฝอเซียงหรือหอคอยทรงแปดเหลี่ยมตรงหน้านี่แหละ โอ้โหมะ!
เนื่องจากบริเวณนี้จะเป็นที่โล่งเลยทำให้มีลมพัดผ่านเย็นสบายตลอดทั้งวัน มีกิจกรรมให้ทำทั้งปั่นเรือชมวิว นั่งเล่นรอบๆทะเลสาบ หรือเดินถ่ายภาพเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆเหมือนเรา ยิ่งถ้ามาเที่ยวในฤดูหนาวทะเลสาบที่เพื่อนๆเห็นทั้งหมดจะกลายเป็นน้ำแข็งคนจะนิยมมากเล่นสเกต และปั่นจักรยานบนลานน้ำแข็งกัน
ในพระราชวังจะมีระเบียงไม้ที่ยาวที่สุดในจีนชื่อว่า ระเบียงฉางหลาง มีระยะทางทั้งหมด 728 เมตร ระหว่างเดินเพื่อนๆสามารถชมความสวยงามของภาพวาดที่ประดับอยู่ตามเพดานหรือบนเสาได้ด้วย เห็นว่าแต่ละภาพไม่มีซ้ำกันเลย
นี่คือหอฝอเซียง (Tower of Buddhist Incense) หอคอยทรงแปดเหลี่ยม ขนาด 3 ชั้น ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ พระราชวังฤดูร้อน เราสามารถซื้อตั๋วเข้าไปชมด้านในได้โดยการเดินขึ้นบันไดที่สลับไปมาอารมณ์คล้ายๆเดินไถ่เขา เราไม่ได้ขึ้นไปนะ ขอยกธงขาว 555 เค้าบอกว่าด้านบนจะเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยที่สุดของพระราชวังฤดูร้อนเลยละ แถมยังเป็นสถานที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมพันมือ ประทับบนฐานดอกบัว 999 กลีบอีกด้วย
เดินต่อมาที่ ตำหนักเหรินโซ่วเตี้ยน (Hall of Benevolence and Longevity) หรือที่คุ้นหูคือตำหนักหงษ์เหนือมังกร ที่พระนางซูสีไทเฮาใช้ว่าราชการ ด้านนอกจะมีรูปปั้นมังกรกับหงส์ ซึ่งถ้าตามปกติแล้วมังกรต้องอยู่ด้านใน หงส์อยู่ด้านนอก แต่พระนางซูสีไทเฮาเลือกวางสลับเอามังกรไว้ด้านนอก และวางหงส์ไว้ด้านในแทน เพื่อแสดงถึงอำนาจที่ยิ่งใหญ่เหนือฮ่องเต้นั่นเอง
เดินมาเรื่อยๆผ่านวัดทิเบตสี่แผ่นดิน (Four Great Regions) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา กว่าจะเดินขึ้นมาถึงลมแทบจับเดินไปหยุดไป 555 สงสารตัวเอง
นี่คือตลาดซูโจว (Suzhou Market Street) หากใครเข้ามาทางประตูทิศเหนือจะเจอจุดนี้ก่อนที่อื่นๆเลย มีคนเล่ากันว่า ในสมัยของเฉียนหลงฮ่องเต้ได้เดินทางไปเที่ยวที่เมืองซูโจวและได้ไปแอบชอบแม่ชีท่านหนึ่งเลยคิดจะพานางกลับมาด้วยโดยการสร้างวัดให้ที่เมืองปักกิ่ง แต่แล้วนานวันไปแม่ชีเกิดคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน ฮ่องเต้เลยเปย์ต่อด้วยการสร้างตลาดที่มีต้นแบบมาจากเมืองซูโจวให้เหมือนเป๊ะๆกันไปเลย โอ้โห้ คลั่งรักไม่ไหว 555
เมื่อก่อนตรงบริเวณนี้มีการเปิดร้านต่างๆจริงจังแต่ปัจจุบันทุกร้านปิดหมด บรรยากาศจะจะดูเหงาๆหน่อย
การเดินทาง : ลงรถไฟใต้ดินสถานี Beigonmen ทางออก D หรือ C
ตั๋วเข้าชม : สามารถมาซื้อที่หน้าทางเข้าได้ ค่าบัตร : ¥30 (150 บาท)
เวลาเปิด – ปิด : เดือนเมษายน – ตุลาคม 6:00 – 20:00 น. / เดือนพฤศจิกายน – มีนาคม 6:30 – 19:00 น.
Sanlitun
อะใครอยากช้อปปิ้งแนวๆสยามบ้านเราต้องมาเดินย่านนี้ซานหลี่ถุน 三里屯 แหล่งช้อปปิ้งสุดฮิตที่เต็มไปด้วยของแบรนด์เนม ร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ และบาร์ในยามค่ำคืนอีกด้วย วัยรุ่นเยอะมากคุณ
ยิ่งเย็นคนยิ่งแน่น ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นแต่งตัวจัดจ้านมาเดินช้อปเดินชิลกัน ฟีลไม่เหมือนปักกิ่งเลยอะ
เราชอบพวก Pop Up Store ของบรรดาร้านต่างๆในย่านนี้ มีความเก๋ความชิคน่าเข้าแทบทุกร้านถ้ามีเวลาก็วาปมาเดินกันได้
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินลงสถานี Tuanjiehu ออกทางออกA หรือลงสถานี Dongsishitiao ทางออก A
ก่อนจะปิดจบขอฝากร้านชาบูบุเฟ่ต์อีกร้านไว้เป็นตัวเลือกของเพื่อนๆที่จะมาเที่ยวละกัน Niu YO Sukiyaki มีหลากหลายราคาให้เลือกเริ่มตั้งแต่ ¥190 (บาท)
เราสามารถเรียกพนักงานมาออเดอร์เมนูเนื้อสัตว์ต่างๆได้ที่โต๊ะ และยังมีสเตชั่นเครื่องเคียง ของทานเล่น ของหวาน และเครื่องดื่มให้เดินไปเลือกหยิบเองได้ตามชอบรวมแอลกฮอล์ด้วยน๊า คุ้มมาก
พิกัด : ชั้น 3 อาคาร Guanghua International ถนน Xidawang
ปิด : 11:00 – 21:00 น.
ได้เวลาปิดจบการพาเที่ยวปักกิ่ง การมาครั้งแรกถือว่าเกินเรื่องกว่าที่คิด ที่นี่ทั้งใหญ่โตเกินเรื่อง สวยงามเกินเรื่อง และเหนื่อยเกินเรื่องอยู่เหมือนกัน 555 แต่นั่นแหละทุกอย่างคือสีสันคือประสบการณ์จากที่ดูหนังจีนอ่านประวัติศาสตร์มาตั้งแต่เด็กๆ วันนี้เราพาตัวเองมายืนอยู่ตรงนี้แล้ว ประวัติศาสตร์ในวันนั้นคือปัจจุบันในวันนี้ ลองมาเที่ยวกันดูน๊า
No Comments