เช่ารถขับเที่ยวรอบภูมิภาคคิวชู ญี่ปุ่น | หิมะฉ่ำ

สำหรับใครที่ชื่นชอบการมาเที่ยวญี่ปุ่นเป็นชีวิตจิตใจ แต่ยังไม่เคยเช่ารถขับเที่ยวเองบอกเลยว่าพลาด

ทริปนี้เต็มไปด้วยสถานที่สวยๆแบบอยากแวะไหนก็แวะ หิวก็กิน เหนื่อยก็พัก

พุ่งเป้าไปที่ภูมิภาคคิวชูซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น เริ่มเที่ยวตั้งแต่ Fukuoka | Yufuin | Beppu | Miyazaki ยาวไปจนถึง Kumamoto

และไฮท์ไลท์ของรอบนี้อยู่ที่เส้นภูเขาไฟ Aso ที่ทุ่งหญ้าสีทองตลอด 2 ข้างทาง แถมขับรถอยู่ดีๆก็มีหิมะตก อากาศพุ่งทยานไปถึง -2 องศา ทั้งสวยทั้งหนาวมีอยู่จริง


แพลนการเดินทางของเราในทริปนี้

Day 1 : Nanzoin Temple / Yakiniku Hibiya

Day 2 : Dazaifu / Daimyo

Day 3 : Yunotsubo Street / Yufuin Floral Village / Kinrin Lake

Day 4 : Aso Volcano Museum / Tadewara Wetlands / Aso kuju national Park

Day 5 : Beppu Ropeway / Umi Jigoku / Chinetsu Kanko Labo Enma

Day 6 : Takachiho Gorge / Miyazaki Villa

Day 7 : Kumamoto Castel / Josaien


จุดแรกที่เราจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวกันคือ Tadewara Wetlands タデ原湿原 ซึ่งมันคือเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเพียงไม่กี่แห่งของญี่ปุ่น ซึ่งวันที่เราไปเนี้ย มีหิมะปลอยๆด้วยนะ

ชอบตรงที่จอดรถปุ๊ปเจอทุ่งหญ้าสีทองปั๊ป อากาศก็หนาวจับใจซะเหลือเกิน ขนาดเราใส่หลายชั้นมากยังเกือบเอาไม่อยู่

พิกัดจุดนี้ : https://maps.app.goo.gl/NgkEaTjF2L4Hvgxf8

หลังจากนั้นให้เพื่อนๆเดินมาที่ด้านหลังของ Chojabaru Visitor’s Center จะเป็นจุดชมวิว เดินเล่นบนสะพานไม้ยาวๆ ซึ่งจุดนี้สามารถเดินเข้ามาได้เลย ไม่มีค่าเข้าใดๆ

ตลอด 2 ข้างทางจะเต็มไปด้วยภูเขาโอบล้อม สะพานไม้ทอดยาวไปจนสุดตา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาเดินเทรลกัน แต่ละฤดูจะไม่เหมือนกันเลย ถ้ามาช่วงฤดูร้อน ที่นี่จะกลายเป็นสีเขียวชอุ่ม

ขับรถต่อมาอีกประมาณครึ่งชม. หิมะเริ่มลงหนักเรื่อยๆ อากาศพุ่งทยายสู่ – 2 องศา ทั่วทั้งภูเขากลายเป็นหุบเขาสีขาวไปโดยปริยาย หนาวมาก! ไม่รู้จะอธิบายยังไงกับความหนาวนี้ มือแข็ง ปากแข็ง แต่ก็สู้ ถ่ายรูปกันไม่หยุด จุดนี้คือ Aso kuju national Park

อย่างที่บอกว่าทริปนี่เราเช่ารถขับมาจากฟุกุโอกะ ข้อดีคืออยากแวะตรงไหนก็จอดแวะได้เลย ไม่ต้องเร่งรีบใดๆ

อีกจุดแวะที่ไม่อยากให้พลาดคือ Aso Volcano Museum จุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟและทุ่งหญ้าคุสะเซ็นริ (Kusasenri) ได้พร้อมๆกัน ตรงนี้จะมีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของฝาก
รวมไปถึงจัดแสดงเรื่องราวของภูเขาไฟต่างๆ ในญี่ปุ่น แถมยังลงไปเดินเล่นในทุ่งหญ้าได้ด้วย

ว่าแล้วก็ขอจิบกาแฟเพิ่มความหนาวซักหน่อย 555

เดินขึ้นมาด้านบนภูเขาจะเจอกับมุมสะพานที่ได้แบล็คกราวด้านหลังเป็นภูเขาไฟ สวยมาก ชอบ!

**แต่จริงๆมุมนี้สามารถขับรถขึ้นมาจอดได้ ไม่ห้องหาเดินเหนื่อยเหมือนเรา 555

ต่อกันที่เมือง Beppu กับการนั่งกระเช้าขึ้นไปชมวิวมุมสูงของเกาะคิวชู ใช้เวลาบนกระเช้าประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว

ที่นี่เปิดตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.

ถึงแล้ว วิวสวยมาก จากด้านบนนี้เราสามารถมองเห็นภูเขาไฟสึรูมิ และอ่าวเบปปุได้เลย เนี้ย มีหิมะบางๆด้านบนด้วย

นี่คือการรวมตัวของภูเขา ทะเล และบ้านเรือน รวมเป็นอ่าวเบปปุ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในเรื่องบ่อน้ำร้อนใต้พิภพและบ่อน้ำพุร้อนจากธรรมชาติ จนได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งออนเซ็นของญี่ปุ่น”

มาถึงเมืองเบปปุแล้วไม่มาบ่อน้ำร้อนก็เหมือนมาไม่ถึง นี่คือบ่อนรกหรือจิโกกุเป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติเมื่อ 1,200 ปีก่อน ซึ่งที่นี่จะมีทั้งหมด 8 บ่อ คือ อุมิ, ชิโนเกะ, ทัตสึมากิ, ชิราอิเกะ, โอนิอิชิ โบสุ, โอนิยามะ, คามาโดะ และยามะ แต่รอบนี้เราขอพาไปชมแค่บ่อทะเลสีฟ้า ที่มีเสาโทริอิสีแดงเป็นฉากหลัง และบ่อสีแดงใกล้ๆกัน

เที่ยวจนเหนื่อยก็ลองเสิร์จหาร้านอาหาร ปิดจบที่ร้าน Chinetsu Kanko Labo Enma 地熱観光ラボ縁間 ความพิเศษของร้านนี้คือมาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ได้รับการสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ ใช้การปรุงอาหารจากความร้อนของไอน้ำใต้ดินทำให้อาหารสุกโดยไม่ต้องใช้น้ำมันแหละ

เปิดทุกวัน 10.00 – 19.00 น.

คืนนี้เรานอนค้างที่เมืองเบปปุเป็นอพาร์ทเม้นของ Airbnb มี 2 ห้องนอน พักได้ 5-6 คน อยู่ในตัวเมืองเลย สะดวกดี

มีส่วนกลางทำอาหารได้ด้วย

มาต่อกันที่เมือง Miyazaki ขับรถมาไกลพอสมควร ไกลจนท้อ 55 เรื่องของเรื่องคือเรากับเพื่อนอยากมาพายเรือในหุบเขาที่ หุบเขาทาคาจิโฮะ เห็นจากในรูปแล้วฟีลน่าจะดีต้องได้คอนเทนต์แน่ๆ

นี่เลย พายเรือเล่นตามแนวซอกหิน โดยเราสามารถไปซื้อตั๋วหน้าทางเข้าหรือจองล่วงหน้าไปก็ได้ (แนะนำวิธีนี้มากกว่า) รอบนึงใช้เวลา 30 นาที เอาจริงคือเหนื่อยมาก กว่าจะเดินจากจุดจอดรถมาที่นี่ แล้วลงพายเรือต่อ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายบอกเลย ไม่จำเป็นอย่าหาทำ 5555

ด้วยความที่มาไกลแล้วกว่าจะเที่ยวเสร็จก็เย็นมาก เราเลือกนอนที่เมืองนี้เลย วิลล่าของเราในเมือง Miyazaki เป็นบ้านหลังใหญ่วิวทะเล ตกแต่งสวยงาม จำได้ว่าคืนนั้นปาร์ตี้ทั้งคืนจนเกือบเช้าแหนะ

ที่พักจองผ่าน Airbnb : https://abnb.me/vYUxTXXTRFb

อะมาต่อที่ Yufuin หมู่บ้านที่ได้คะแนนความน่ารักเกินต้านมีทั้งของกิน ของฝาก และธรรมชาติสวยๆให้มอง เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องออนเซ็น และถนนคนเดินที่สวยมากๆอย่าง Yunotsubo Street เริ่มตั้งแต่หน้าสถานีรถไฟยาวเข้าไปด้านในประมาณ 2 กิโลเมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยคาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านขายของฝากต่างๆ

ตรงนี้เรียกว่า Yufuin Floral Village เหมือนเข้ามาในโลกของการ์ตูน ร้านค้าต่างๆทาสีเหลืองนวล แล้วโซนนี้ฮอตมาก คนรุมกันถ่ายรูปขั้นสุด 55

ด้านในสุดคือ Kinrin Lake ทะเลสาบเล็กๆที่ไหลมาจากน้ำพุร้อน อุณหภูมิของน้ำในสระจะอุ่นอยู่ตลอดเวลา ยิ่งช่วงเช้าหรืออากาศหนาวมากๆ จะมีควันลอยขึ้นมาจากผิวน้ำเลยละ

ขากลับมายังฟุกุโอกะ เราแวะเที่ยวเบาๆกันที่เมือง Kumamoto ที่ปราสาท Kumamoto Castle สุดเก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดของเมือง ปัจจุบันน่าจะมีอายุราว 400 ปี แต่ทุกอย่างยังสมบรูณ์ สวยงาม เพื่อนๆสามารถเดินชมบริเวณด้านนอก หรือเข้าไปทัวร์ด้านในได้ด้วย

ใกล้ๆกันคือ Sakurano-baba Josaien เป็นเหมือนตลาดโบราณที่รวบรวมร้านค้าและร้านอาหารไว้มากมาย เดินเพลินมาก

ที่นี่จะเปิด : 11:00 – 19:00 น.

ช่วงที่รอบไปรอบข้างใบไม้เปลี่ยนสีพอดีเลยอะ โชคดีมาก นี่ถ่ายมาฝากเพื่อนๆจ้า คริ!

กลับเข้ามาฟุกุโอกะแล้ว เมืองนี้เที่ยวง่ายโดยไม่ต้องเช่ารถ สามารถนั่งรถไฟฟ้าชิลๆได้เลย

ที่แรกในเมืองนี้ขอพาไปที่ Dazaifu มีทั้งศาลเจ้า จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี และถนนสายของกิน

การเดินทาง :

1. นั่ง Hakata station – Tenjin Staion (Subway หรือ JR ก็ได้)
2. เปลี่ยนสายมานั่ง Nishitesu – Futsukaichi ชั้น 2 ลงสถานีสุดท้าย Dazaifu ใช้เวลา 40 นาที

มาถึงปุ๊ปก็พุ่งตัวมาถ่ายรูปกับใบไม้เปลี่ยนสีก่อนเลย มันแดงมาก แดงฉ่ำ

ด้านหน้าทางเข้าคือถนนสายช้อปปิ้งและของกิน Dazaifu ถนนซันโดออกจากสถานีก็เจอเลย เป็นถนนสายหลักที่พุ่งตรงไปยังศาลเจ้า ซ้ายและขวาร้านของกินแน่นๆจุกๆ แถมมีซอยต่างๆที่สามารถทะลุได้หมด ที่นี่ส่วนใหญ่คนมักมาเที่ยวแบบ One day trip แบบชิลๆ บนถนนเส้นนี้จะทีร้าน Starbucks ในตำนานอยู่ด้วย ซึ่งเป็นสาขาที่ขึ้นชื่อว่าออกแบบสวยงามที่สุดในโลกอีกแห่งหนึ่ง มีการเอาไม้มาขัดกันแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว

ที่ชอบมากๆคือของกิน เท๊อ! มันจะเยอะไปไหน น่ากินไปหมด

กินเสร็จเดินกลับมาตรงศาลเจ้า Dazaifu Tenmangu Shrine มีสะพานสีแดงเชื่อมไปยังด้านใน 3 สะพาน ตัวแทนของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

นี่เลย นักท่องเที่ยวนิยมมาวเพื่อเข้าไปลูบและขอพรกัน ส่วนใหญ่ก็จะขอเรื่องการเรียนการศึกษา

ต่อกันที่ Nanzoin Temple วัดนันโซอิน หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากับวัดนี้ เพราะหลายๆที่ใช้เป็นภาพโปรโมทเมืองฟุกุโอกะนั่นเอง

ขึ้นมาด้านบนได้แต่อุทานว่าโอ้โห อลังการจัง บางคนบอกว่านี่คือพระนอนที่เป็นพระพุทธรูปทองสำริดขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เทียบเท่ากับเทพีเสรีภาพเชียว มาแล้วก็อย่าลืมมาลูบที่ปลายเท้าเพื่อขอพรโชคลาภละ สายมูตัวจริงมาทางนี้ค่า

การเดินทาง : นั่งรถไฟสาย JR Sasaguri Line จาก Hakata Station ลงสถานี Kido Nanzoin-mae Station ใช้เวลาประมาณ 30 นาที แล้วเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที

เวลาเปิด-ปิด : 9:00 – 17:00 น.

ขอกลับเข้าเมืองก็แวะเดินเล่นเส้นถนน Tenjin ใกล้ๆกันจะมีย่านเด็กแนวเด็กอาร์ตชื่อว่า Daimyo
ใครชอบช้อปปิ้งจะเหมาะมาก

ถนน 2 ข้างทางเต็มไปด้วยร้านเสื้อผ้าทั้งมือ 1 มือ 2 รองเท้า กระเป๋า คาเฟ่ ร้านอาหาร ไปจนถึงพวกร้านอิซากายะนั่งชิลยามเย็น รับรองว่าเดินเมื่อยแน่ๆ

ปิดจบทริปด้วยมื้อหนักร้านปิ้งย่างสำหรับคนรักเนื้อ เป็นร้านที่เราชอบมาก มาบ่อยสุด กินมา 3 ปีล้าวววว

ชื่อร้าน Yakiniku Hibiya 焼肉 火備屋
เปิดทุกวัน 18.00 – 02.00 น.


ถือว่าเป็นทริปที่ยาวนานและคุ้ม ได้แวะหลายเมือง ซึ่งแต่ละเมืองก็มีจุดเด่นที่ต่างกัน

ได้ประสบการณ์ใหม่ในการ Road Trip เราเช่ารถกับ ToCoo! Rental Car เป็นเว็บไซต์รวมรถเช่าของญี่ปุ่นที่มีภาษาไทยด้วย จองง่าย ราคาดี มีรถให้เลือกเยอะ สะดวกสุด ลองดูน๊า

No Comments

Leave a Reply

Facebook

Facebook

About Me

Call me “Pui”, a kind of girl who enjoy travelling, meet some new friends and places. CHILL WITH ME is an area of our own journey stories willing to share and inspired you to fulfill your teenage dreams’ passion, pack your baggage and journey…round the world.

Instagram

Handpicked

Featured