รวมแลนด์มาร์ค”ชัยปุระ”มันชมพูจริงไหมอะ? เที่ยวเองได้ง่ายๆ ฉบับ 2023

Namastē อินเดีย เจอกันอีกครั้งในรอบ 4 ปี บอกเลยว่าคิดถึงหนักมาก ทั้งความสนุกสนาน ตื่นเต้นแบบใจเต้นรัวๆ ความเอ๊ะ! ของที่นี่ ทั้งหมดนี้รวมมาไว้ในทริปนี้ของเรา 8 วัน 7 คืน กับการเดินทาง 2 เมือง คือชัยปุระ – อัครา
ซึ่งรอบนี้จะขอแยกเล่าแค่เมือง “ชัยปุระ” ก่อนนะ


มาทำความรู้จักกับชัยปุระเมืองสุดโด่งดังแห่งรัฐราชสถานกัน!

ชัยปุระ หรือจัยปูร์ เป็นเมืองหลวงของ รัฐราชสถาน (Rajastan) ประเทศอินเดีย และจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 10 ของประเทศอีกด้วย ที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองสีชมพูเพราะในสมัยของ Maharaja Ram Singh ได้สั่งให้ประชาชนทาบ้านเรือนสีชมพูเพื่อต้อนรับราชวงศ์อังกฤษที่มาเยือนและแสดงถึงสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน ซึ่งต่อมาก็ได้มีการรักษาไว้จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของเมืองจนเกิดเป็นกฎว่าในเขตกำแพงเมืองเก่าประชาชนต้องทาบ้านเรือนด้วยสีชมพูเท่านั้น

สถานที่ท่องเที่ยวในชัยปุระที่ต้องห้ามพลาด !!

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าจากการเดินทางไปหลากหลายเมืองของอินเดีย ชัยปุระคือเมืองที่มีครบทุกอย่างของจริง ทั้งสถานที่น่าเช็คอิน คาเฟ่ ร้านอาหาร รวมถึงโรงแรมสุดหรู แถมการเดินทางก็สะดวกสบาย เหมาะกับเพื่อนๆที่อยากเปิดใจให้อินเดียครั้งแรก เริ่มจากเมืองนี้น่าจะโอเคสุดละ


Hawa Mahal หรือพระราชวังสายลม हवा महल ที่นี่เรียกว่าเป็นแลนมาร์คประจำเมืองก็ว่าได้ ด้วยรูปทรงอาคารหินทรายสีชมพู สูง 5 ชั้นพร้อมลวดลายฉลุเป็นช่องลมหน้าต่างขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไปจำนวน 953 บาน สร้างขึ้นเพื่อให้บรรดาสนมนางในสามารถมองเห็นความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองได้ ปัจจุบันกลายเป็นจุดเช็คอินของเหล่านักท่องเที่ยว และย่านการค้าสำคัญ เต็มไปด้วยร้านคาเฟ่และร้านขายของต่างๆ

เพื่อนๆสามารถไปถ่ายรูปเล่นบริเวณด้านหน้าได้ แต่ถ้าอยากได้มุมสวยๆแบบไม่ต้องเบียดคน เราแนะนำขึ้นไปคาเฟ่ฝั่งตรงข้ามร้าน The Tattoo Cafe

ได้สั่งอาหารมาทานพร้อมรูปสวยๆ ร้านนี้เค้ามี 2 ชั้นคือโซนด้านในแอร์และรูฟท้อป ซึ่งสามารถเลือกได้ตามความชอบ


City Palace หรือพระราชวังหลวง सिटी पैलेस ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Hawa Mahal สามารถเดินมาได้เลย ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนและอยู่อาศัยของเหล่าสมาชิกราชวงศ์ชัยปุระซึ่งปัจจุบันก็ยังคงอาศัยอยู่นะ มีขนาดพื้นที่ใหญ่ถึง 1 ใน 7 ของใจกลางเมือง มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามในเดินชม โดยจะมีค่าเข้าที่แตกต่างกันออกไป

ส่วนตัวเราชอบความละเมียดละไมในการดีไซต์ออกมาแต่ละมุม จะสังเกตุได้ถึงความปราณีตและผ่านกระบวนการคิดมาเป็นอย่างดี ทั้งโทนสีไปถึงลวดลายและการฉลุต่างๆ แค่มองด้วยตาเปล่าก็สวยแล้ว

ซุ้มประตูนกยูง จริงๆจะมีทั้งหมด 4 บานด้วยกัน ประตูนกยูง ประตูดอกบัว ประตูลายดอกไม้ และประตูลายใบไม้

เมื่อก่อนเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปนั่งถ่ายรูปได้ทุกบาน แต่ในปัจจุบันมีการเอาเชือกมากั้นให้ถ่ายได้แค่ประตูบานนี้บานเดียวละ

มองกลับมาจะเห็นอาคารสำหรับผู้ที่ซื้อตั๋วแบบ Exclusive ซึ่งจะสามารถเข้าไปด้านในได้พร้อมไกด์เพื่อชมความสวยงามของห้อง Mirror Room, Blue Room และ Golden Room **รอบนี้เราไม่ได้ขึ้นไปนะ เพราะเมื่อ 5 ปีที่แล้วเคยขึ้นไปแล้ว

ด้านหลังสุดคือพิพิธภัณฑของใช้ของสะสมของราชวงศ์ ซึ่งเราสนใจด้านนอกมากกว่า เพราะถ่ายรูปออกมาคือสวยมากคุณ

เปิด : 09.30-17.00 น. ทุกวัน

ค่าเข้า 700 รูปี สามารถชมด้านในได้บางส่วน
ค่าเข้า 3,500 รูปี สามารถเข้าชมได้ทุดส่วนพร้อมไกด์ส่วนตัว มีเครื่องดื่มให้นั่งชิลล์


Galta Ji Temple Jaipur หรือวัดลิง เป็นวัดฮินดูโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณปลายหุบเขาอราวลี  ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กม. ด้านในมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวบ้านมาประกอบพิธีตามเทศกาลต่างๆ ภาพจำที่ทุกคนนึกถึงเห็นจะเป็นภาพตัววัดที่ถูกขนาบด้วยหุบเขาที่ดูแปลกตานี่ละ

วัดแห่งนี้ถูกสร้างโดยหินทรายสีชมพูแต่ที่เราแปลกใจคือน้ำสีเขียวข้น กลิ่นแรงมากด้วย แต่ผู้คนก็ยังคงลงอาบอย่างสบายใจ โอ้โห!

รอบๆจะมีฝูงลิงเดินไปมาสมชื่อวัดลิงจริงๆ

จริงๆที่นี่ไม่ได้มีดีแต่ตรงวัดด้านบนนะ ช่วงทางเดินเข้าก็ยังมีสถาปัตยกรรมให้เดินชม เดินถ่ายรูปเล่นได้

เปิด : 05:00 – 09:00 น.ทุกวัน
ค่าเข้า 100 รูปี ค่ากล้อง 150 รูปี/ชิ้น


Amber Fort หรือป้อมอาเมร์ आमेर क़िला หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมือง ตั้งอยู่บนผาหินเหนือทะเลสาบทะเลสาบเมาตา (Maota)  มีกำแพงปราการล้อมรอบ สร้างขึ้นด้วยหินทรายสีเหลืองและสีชมพูเป็นหลัก พื้นที่กว้างมีจุดให้เดินเล่นเยอะ แต่ข้อควรรู้คือที่นี่ไม่สามารถเดินย้อนกลับมาได้นะ ผ่านแล้วผ่านเลย

วิธีการขึ้นไปด้านบนของ Amber Fort ทำได้ 4 วิธี คือ
1.เดินขึ้นไปเองใช้เวลาเดินประมาณ 10-15 นาที
2.นั่งรถจี๊ป ค่าโดยสารคันละ 300 รูปี คันนึงนั่งได้ 4-5 คน
3.นั่งช้างชมวิว ค่าโดยสาร 1,100 รูปี นั่งได้ 2 คน
4. ถ้าเช่ารถมาสามารถให้คนขับรถขึ้นไปส่งด้านบนตรงทางเข้าได้เลย

ชอบความเล่นใหญ่สมเป็นพี่อินเดียเสมอ ทุกอย่างดูอลังการพร้อมดีเทลแน่นๆ แล้วที่นี่คนเยอะมากจ้า จะถ่ายรูปแต่ละมุมแบบคนโล่งๆต้องยืนรอมากนะเท๊อ!

เดินผ่านจุดถ่ายรูปไปเรื่อยๆจะเริ่มเข้าสู่พื้นที่ฝึกจิต เพราะจะมีคนมาขายของ เดินตื้อ เดินตาม ถ้าเราไม่ซื้อก็ต้องปฎิเสธด้วยน้ำเสียงจริงจังหน่อยละ 555

เปิด : 8.00 – 17.30 ทุกวัน

ค่าเข้า 502 รูปี


ถัดมาที่วัดฮินดูซึ่งตั้งอยู่ที่เชิงเขาหลังป้อม Amer เพียง 15 นาที Jagat Shiromani Temple เป็นวัดขนาดเล็กทางผ่านที่อยากแวะถ่ายรูปซักหน่อย เพราะทางเข้าสวย

ด้วยความวันที่เราไปอากาศร้อนมาก รีบถ่ายรีบกลับที่แท้ทรู

ค่าเข้า 25 รูปี


Panna Meena Ka Kund บ่อน้ำโบราณขั้นบันได สร้างขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำ และบันไดที่ออกแบบเป็นแนวทแยงช่วยให้ผู้คนจำนวนมากลงไปในบ่อได้ในเวลาพร้อมกัน และสามารถใช้น้ำได้จนถึงหยดสุดท้ายนั่นเอง

ที่นี่ไม่มีค่าเข้านะและปัจจุบันไม่อนุญาตให้ลงไปถ่ายรูปด้านล่างแล้ว


The Patrika Gate ที่สุดของจุดถ่ายรูปย๊ากยาก เพราะคนเยอะมาก ที่นี่ตั้งอยู่ตรงวงเวียน Jawahar (จาวาฮาร์) ใกล้เป็นประตูลำดับที่ 9 แห่งเมืองชัยปุระ ไม่ต้องเสียค่าเข้าจะอยู่ถ่ายรูปนานแค่ไหนก็ได้นี่แหละเลยทำให้คนขยันมาถ่ายพรีเวดดิ้งกัน อย่างวันที่เราไปเจอ 3 คู่ จับจองทุกมุม


ถามว่าท้อไหมตอบเลยว่ามาก! แต่ไหนๆก็มาแล้ว รอวนไปค่าครึ่งชม. 555

พอได้เห็นลวดลายใกล้ๆนี่ยอมใจช่างฝีมือบ้านเค้าเหมือนกันนะ ดีเทลแน่นทุกตารางนิ้ว


Albert Hall Museum พิพิธภัณฑ์อัลเบิร์ตฮอลล์ ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในรัฐ ด้านในเต็มไปด้วยพวกพรม สิ่งทอ เครื่องปั้นดินเผา ประติมากรรม ภาพวาดต่างๆ แต่ทางเราไม่เข้าจ้าเพราะไม่อินเท่าไหร่ วิ่งไล่นกอยู่ข้างนอกดีกว่า 555


Gatore Ki Chhatriyan สถานที่เผาพระศพของราชาผู้ปกครองเมือง ถูกสร้างด้วยหินอ่อนและหินทรายแบบไร้สีสันมีการฉลุลายอย่างสวยงาม กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองนี้

ด้านในค่อนข้างเงียบสงบ มีนักท่องเที่ยวไม่เยอะ เดินถ่ายรูปกันเพลินเลยละ

ค่าเข้า 50 รูปี


Nahargarh Fort ป้อมปราการที่เหมาะสำหรับการมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่สุด เพราะอยู่ในจุดที่สูงสุดของเมือง ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานของศัตรู แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปได้ถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่ท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจของผู้คน


มุมนี้คือต้องมองลอดช่องหน้าต่างกำแพงออกไปนะ ซึ่งมันสวยมาก มองเห็นบ้านเรือนเยอะแยะมากมาย

เสียดายช่วงเราไปโดนห้ามเยอะมาก โน่นก็ปิด นี่ก็ไม่ให้ไป เอาจริงคือไม่คุ้มค่าเข้าเลย


บ้านของคนที่นี่ส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายๆกัน บางหลังก็ทาสีบางหลังก็ไม่ทาแต่ทุกหลังจะดูเหมือนบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเค้าไม่ยากจ่ายค่าภาษีโรงเรือนนั่นเอง

ค่าเข้า 202 รูปี


Townsend – Kitchen & Bar ร้านอาหารบรรยากาศดีในตัวเมือง เราค้นพบที่นี่ด้วยความบังเอิญ ชอบการตกแต่งในทุกมุม แนะนำให่มาทานมื้อเย็น เพราะช่วงที่ร้านเค้าเปิดไฟคือช่วงที่ร้านนี้บรรยากาศดีที่สุดแล้ว

สำหรับอาหารมีให้เลือกหลากหลาย รสชาติโอเค ไม่อินเดียจ๋าจนเกินไป

เปิด : 12.00 – 01.00 ทุกวัน


Rajmahal Palace RAAS Jaipur ความตั้งใจแรกของเราคือการหาโรงแรมสวยๆเข้าไปนั่งจิบชาแบบมหารานีท่านหนึ่ง ก็เลยจิ้มเลือกที่นี่เพราะความน่ารัก ชมพู๊ชมพูของเค้านี่ละ

นี่คือรอบๆโรงแรมที่พอเราจอบชาเสร็จสามารถมาเดินเล่นได้หรือให้พนักงานพามาทัวร์ก็ได้เช่นกัน

ส่วนฝันของเราสลายลงเพราะห้องจิบชาสีฟ้าที่อยากมามากๆมันปิดจ้า เลยต้องย้ายมานั่งห้องนี่แทน เอิ่ม! มันไม่พาสเทลเอาซะเลย มันชมพูแบบตะโกนมา แบบขำตัวเอง 555

เซ็ตชาที่นี่ราคา 2,000 รูปี/ชุด/คน เติมได้เรื่อยๆ


Gulab Ji Chai Wale อยากจิบชาแบบดั้งเดิมต้องมาร้านนี้ ตัวชามีกลิ่นหอมละมุนทานง่ายเราสั่งมาพร้อมขนมปังทาเนยไส้ซาโมซ่า ก็เข้ากันนะ


Fairmont Jaipur Hotel ที่พักที่หนึ่งในใจของเรา มันสวย มันเริ่ด มันอลังมากคุณ ความประทับใจแรกเริ่มตั้งแต่ประตูทางเข้ามีการโปรยดอกกุหลาบ welcome พร้อมกล้องและเครื่องดนตรีบรรเลงพร้อมๆกัน จากทางเข้ายาวมายันส่วนล็อบบี้มีดีเทลซ่อนอยู่ตลอด

เราพักห้อง King Room ส่วนตัวชอบมาก เพราะด้านในแบ่งออกเป็น 2 โซนหลังคือ ห้องนอนและห้องน้ำซึ่งขนาดใหญ่พอๆกัน มีโซฟานุ่มๆไว้นอนมองวิวด้านนอกแถมตอนเข้ามายังมีการวางกลีบดอกไม้เป็นทางเดินเข้าห้องให้อีกด้วย ดี๊ดี

ที่นี่มีทั้งบาร์สีขาวขนาดใหญ่ ห้องอาหารสุดหรู สปา ร้านตัดผม ร้านขายของ ยาวไปจนถึงสระว่ายน้ำที่แค่มองด้วยตาเปล่าก็ประทับใจ

ที่นี่โลเคชั่นอยู่ไม่ไกลจาก Amber fort สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตที่มีชื่อเสียงในชัยปุระ แม้ด้านนอกจะวุ่ยวายแค่ไหน แต่พอย่างก้าวเข้ามาด้านในโรงแรมแล้วเหมือนเป็นอีกโลก เต็มไปด้วยความเงียบสงบ ลัคชู และอาหารที่กล้าสั่งและกล้ากินไปหมด 555


Hyatt Regency Jaipur Mansarovar อีกหนึ่งที่พักสวยแต่แอบไกลไปนิด ตัวโรงแรมมีขนาดใหญ่ สะอาด และอลังการเช่นกัน

บริเวณนี้คือไฮไลท์หลัก สวนรูปดาว 7 แฉกพร้อมน้ำพุตรงกลางซึ่งจุดนี้จะเห็นนกบินมากินน้ำอยู่ตลอดทั้งวันเลย

เราพักห้อง King Room การตกแต่งคล้ายๆบ้านเรามาก แบ่งสัดส่วนชัดเจน สะอาด แถมอาหารโรงแรมอร่อย เพราะเราสั่ง Room Service กินทุกวัน 555

จริงๆที่นี่ยังมีทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส ร้านอาหาร แต่เราไม่ได้ถ่ายมาให้ดู เพราะมีเวลาในโรงแรมน้อย มัวแต่ตะลอนเที่ยวในเมือง 555


#การทำVISA
เที่ยวอินเดียต้องใช้วีซ่านะคะ สามารถทำออนไลน์ได้ที่ลิ้งค์นี้ https://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html
วันเดียวก็อนุมัติแล้วง่ายมากๆ ถ้าไม่ผ่านก็แค่ส่งไปใหม่ชิลๆ

#การเดินทาง
เราบินกับ Air Asia บินตรง ดอนเมือง – ชัยปุระ (ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงกว่าๆ)

ชอบความพื้นที่กว้าง ไม่เมื่อย นั่งชิลๆแปปเดียวก็ถึง

#รถเช่า
การเดินทางในชัยปุระจริงๆมีให้เลือกหลายแบบ Rickshaw (ตุ๊กๆบ้านเรา) UBER
หรือจะเป็นเช่ารถพร้อมคนขับก็สะดวกดี เราเลือกเที่ยวแบบสบายๆ เช่ารถพร้อมคนขับ
ของ Ranthambore Tour Cab คนขับพูดภาษาอังกฤษได้ ภาษาไทยก็ได้


การมาเที่ยวอินเดียที่หลายคนส่ายหน้า แต่สำหรับเรายังยิ้มให้เช่นเคย

ความน่ารักของคนแม้จะเฟรนลี่เกินไปหน่อยแต่ก็รับได้

ความสวยงามของสิ่งก่อสร้างที่เห็นกี่ครั้งก็ยังคงตาโตอยู่ตลอด

อาหารที่คิดว่าไม่ไหว สุดท้ายอร่อยกว่าที่คิด

ความอิหยังวะระหว่างเดินทางพอผ่านไปมันก็น่าตลกดี

นี่สินะที่เค้าเรียกว่าสีสันของการเดินทาง

เพราะบางทีระหว่างทางที่เราไม่ได้หยิบกล้อง ไม่ได้ตั้งใจ มันก็อาจจะน่าจดจำกว่าจุดหมายปลายทางก็ได้


ทริปหน้ายังคงอยู่ที่อินเดีย เราจะพาไปเมืองอัครา กัน!

No Comments

Leave a Reply

Facebook

Facebook

About Me

Call me “Pui”, a kind of girl who enjoy travelling, meet some new friends and places. CHILL WITH ME is an area of our own journey stories willing to share and inspired you to fulfill your teenage dreams’ passion, pack your baggage and journey…round the world.

Instagram

Handpicked

Featured