Namastē อินเดีย เจอกันอีกครั้งในรอบ 4 ปี บอกเลยว่าคิดถึงหนักมาก ทั้งความสนุกสนาน ตื่นเต้นแบบใจเต้นรัวๆ ความเอ๊ะ! ของที่นี่ ทั้งหมดนี้รวมมาไว้ในทริปนี้ของเรา 8 วัน 7 คืน กับการเดินทาง 2 เมือง คือชัยปุระ – อัครา
ซึ่งรอบนี้จะขอแยกเล่าแค่เมือง “ชัยปุระ” ก่อนนะ
มาทำความรู้จักกับชัยปุระเมืองสุดโด่งดังแห่งรัฐราชสถานกัน!
ชัยปุระ หรือจัยปูร์ เป็นเมืองหลวงของ รัฐราชสถาน (Rajastan) ประเทศอินเดีย และจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 10 ของประเทศอีกด้วย ที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองสีชมพูเพราะในสมัยของ Maharaja Ram Singh ได้สั่งให้ประชาชนทาบ้านเรือนสีชมพูเพื่อต้อนรับราชวงศ์อังกฤษที่มาเยือนและแสดงถึงสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน ซึ่งต่อมาก็ได้มีการรักษาไว้จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของเมืองจนเกิดเป็นกฎว่าในเขตกำแพงเมืองเก่าประชาชนต้องทาบ้านเรือนด้วยสีชมพูเท่านั้น
สถานที่ท่องเที่ยวในชัยปุระที่ต้องห้ามพลาด !!
ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าจากการเดินทางไปหลากหลายเมืองของอินเดีย ชัยปุระคือเมืองที่มีครบทุกอย่างของจริง ทั้งสถานที่น่าเช็คอิน คาเฟ่ ร้านอาหาร รวมถึงโรงแรมสุดหรู แถมการเดินทางก็สะดวกสบาย เหมาะกับเพื่อนๆที่อยากเปิดใจให้อินเดียครั้งแรก เริ่มจากเมืองนี้น่าจะโอเคสุดละ
Hawa Mahal หรือพระราชวังสายลม हवा महल ที่นี่เรียกว่าเป็นแลนมาร์คประจำเมืองก็ว่าได้ ด้วยรูปทรงอาคารหินทรายสีชมพู สูง 5 ชั้นพร้อมลวดลายฉลุเป็นช่องลมหน้าต่างขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไปจำนวน 953 บาน สร้างขึ้นเพื่อให้บรรดาสนมนางในสามารถมองเห็นความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองได้ ปัจจุบันกลายเป็นจุดเช็คอินของเหล่านักท่องเที่ยว และย่านการค้าสำคัญ เต็มไปด้วยร้านคาเฟ่และร้านขายของต่างๆ
เพื่อนๆสามารถไปถ่ายรูปเล่นบริเวณด้านหน้าได้ แต่ถ้าอยากได้มุมสวยๆแบบไม่ต้องเบียดคน เราแนะนำขึ้นไปคาเฟ่ฝั่งตรงข้ามร้าน The Tattoo Cafe
ได้สั่งอาหารมาทานพร้อมรูปสวยๆ ร้านนี้เค้ามี 2 ชั้นคือโซนด้านในแอร์และรูฟท้อป ซึ่งสามารถเลือกได้ตามความชอบ
City Palace หรือพระราชวังหลวง सिटी पैलेस ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Hawa Mahal สามารถเดินมาได้เลย ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนและอยู่อาศัยของเหล่าสมาชิกราชวงศ์ชัยปุระซึ่งปัจจุบันก็ยังคงอาศัยอยู่นะ มีขนาดพื้นที่ใหญ่ถึง 1 ใน 7 ของใจกลางเมือง มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามในเดินชม โดยจะมีค่าเข้าที่แตกต่างกันออกไป
ส่วนตัวเราชอบความละเมียดละไมในการดีไซต์ออกมาแต่ละมุม จะสังเกตุได้ถึงความปราณีตและผ่านกระบวนการคิดมาเป็นอย่างดี ทั้งโทนสีไปถึงลวดลายและการฉลุต่างๆ แค่มองด้วยตาเปล่าก็สวยแล้ว
ซุ้มประตูนกยูง จริงๆจะมีทั้งหมด 4 บานด้วยกัน ประตูนกยูง ประตูดอกบัว ประตูลายดอกไม้ และประตูลายใบไม้
เมื่อก่อนเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปนั่งถ่ายรูปได้ทุกบาน แต่ในปัจจุบันมีการเอาเชือกมากั้นให้ถ่ายได้แค่ประตูบานนี้บานเดียวละ
มองกลับมาจะเห็นอาคารสำหรับผู้ที่ซื้อตั๋วแบบ Exclusive ซึ่งจะสามารถเข้าไปด้านในได้พร้อมไกด์เพื่อชมความสวยงามของห้อง Mirror Room, Blue Room และ Golden Room **รอบนี้เราไม่ได้ขึ้นไปนะ เพราะเมื่อ 5 ปีที่แล้วเคยขึ้นไปแล้ว
ด้านหลังสุดคือพิพิธภัณฑของใช้ของสะสมของราชวงศ์ ซึ่งเราสนใจด้านนอกมากกว่า เพราะถ่ายรูปออกมาคือสวยมากคุณ
เปิด : 09.30-17.00 น. ทุกวัน
ค่าเข้า 700 รูปี สามารถชมด้านในได้บางส่วน
ค่าเข้า 3,500 รูปี สามารถเข้าชมได้ทุดส่วนพร้อมไกด์ส่วนตัว มีเครื่องดื่มให้นั่งชิลล์
Galta Ji Temple Jaipur หรือวัดลิง เป็นวัดฮินดูโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณปลายหุบเขาอราวลี ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กม. ด้านในมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวบ้านมาประกอบพิธีตามเทศกาลต่างๆ ภาพจำที่ทุกคนนึกถึงเห็นจะเป็นภาพตัววัดที่ถูกขนาบด้วยหุบเขาที่ดูแปลกตานี่ละ
วัดแห่งนี้ถูกสร้างโดยหินทรายสีชมพูแต่ที่เราแปลกใจคือน้ำสีเขียวข้น กลิ่นแรงมากด้วย แต่ผู้คนก็ยังคงลงอาบอย่างสบายใจ โอ้โห!
รอบๆจะมีฝูงลิงเดินไปมาสมชื่อวัดลิงจริงๆ
จริงๆที่นี่ไม่ได้มีดีแต่ตรงวัดด้านบนนะ ช่วงทางเดินเข้าก็ยังมีสถาปัตยกรรมให้เดินชม เดินถ่ายรูปเล่นได้
เปิด : 05:00 – 09:00 น.ทุกวัน
ค่าเข้า 100 รูปี ค่ากล้อง 150 รูปี/ชิ้น
Amber Fort หรือป้อมอาเมร์ आमेर क़िला หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมือง ตั้งอยู่บนผาหินเหนือทะเลสาบทะเลสาบเมาตา (Maota) มีกำแพงปราการล้อมรอบ สร้างขึ้นด้วยหินทรายสีเหลืองและสีชมพูเป็นหลัก พื้นที่กว้างมีจุดให้เดินเล่นเยอะ แต่ข้อควรรู้คือที่นี่ไม่สามารถเดินย้อนกลับมาได้นะ ผ่านแล้วผ่านเลย
วิธีการขึ้นไปด้านบนของ Amber Fort ทำได้ 4 วิธี คือ
1.เดินขึ้นไปเองใช้เวลาเดินประมาณ 10-15 นาที
2.นั่งรถจี๊ป ค่าโดยสารคันละ 300 รูปี คันนึงนั่งได้ 4-5 คน
3.นั่งช้างชมวิว ค่าโดยสาร 1,100 รูปี นั่งได้ 2 คน
4. ถ้าเช่ารถมาสามารถให้คนขับรถขึ้นไปส่งด้านบนตรงทางเข้าได้เลย
ชอบความเล่นใหญ่สมเป็นพี่อินเดียเสมอ ทุกอย่างดูอลังการพร้อมดีเทลแน่นๆ แล้วที่นี่คนเยอะมากจ้า จะถ่ายรูปแต่ละมุมแบบคนโล่งๆต้องยืนรอมากนะเท๊อ!
เดินผ่านจุดถ่ายรูปไปเรื่อยๆจะเริ่มเข้าสู่พื้นที่ฝึกจิต เพราะจะมีคนมาขายของ เดินตื้อ เดินตาม ถ้าเราไม่ซื้อก็ต้องปฎิเสธด้วยน้ำเสียงจริงจังหน่อยละ 555
เปิด : 8.00 – 17.30 ทุกวัน
ค่าเข้า 502 รูปี
ถัดมาที่วัดฮินดูซึ่งตั้งอยู่ที่เชิงเขาหลังป้อม Amer เพียง 15 นาที Jagat Shiromani Temple เป็นวัดขนาดเล็กทางผ่านที่อยากแวะถ่ายรูปซักหน่อย เพราะทางเข้าสวย
ด้วยความวันที่เราไปอากาศร้อนมาก รีบถ่ายรีบกลับที่แท้ทรู
ค่าเข้า 25 รูปี
Panna Meena Ka Kund บ่อน้ำโบราณขั้นบันได สร้างขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำ และบันไดที่ออกแบบเป็นแนวทแยงช่วยให้ผู้คนจำนวนมากลงไปในบ่อได้ในเวลาพร้อมกัน และสามารถใช้น้ำได้จนถึงหยดสุดท้ายนั่นเอง
ที่นี่ไม่มีค่าเข้านะและปัจจุบันไม่อนุญาตให้ลงไปถ่ายรูปด้านล่างแล้ว
The Patrika Gate ที่สุดของจุดถ่ายรูปย๊ากยาก เพราะคนเยอะมาก ที่นี่ตั้งอยู่ตรงวงเวียน Jawahar (จาวาฮาร์) ใกล้เป็นประตูลำดับที่ 9 แห่งเมืองชัยปุระ ไม่ต้องเสียค่าเข้าจะอยู่ถ่ายรูปนานแค่ไหนก็ได้นี่แหละเลยทำให้คนขยันมาถ่ายพรีเวดดิ้งกัน อย่างวันที่เราไปเจอ 3 คู่ จับจองทุกมุม
ถามว่าท้อไหมตอบเลยว่ามาก! แต่ไหนๆก็มาแล้ว รอวนไปค่าครึ่งชม. 555
พอได้เห็นลวดลายใกล้ๆนี่ยอมใจช่างฝีมือบ้านเค้าเหมือนกันนะ ดีเทลแน่นทุกตารางนิ้ว
Albert Hall Museum พิพิธภัณฑ์อัลเบิร์ตฮอลล์ ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในรัฐ ด้านในเต็มไปด้วยพวกพรม สิ่งทอ เครื่องปั้นดินเผา ประติมากรรม ภาพวาดต่างๆ แต่ทางเราไม่เข้าจ้าเพราะไม่อินเท่าไหร่ วิ่งไล่นกอยู่ข้างนอกดีกว่า 555
Gatore Ki Chhatriyan สถานที่เผาพระศพของราชาผู้ปกครองเมือง ถูกสร้างด้วยหินอ่อนและหินทรายแบบไร้สีสันมีการฉลุลายอย่างสวยงาม กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองนี้
ด้านในค่อนข้างเงียบสงบ มีนักท่องเที่ยวไม่เยอะ เดินถ่ายรูปกันเพลินเลยละ
ค่าเข้า 50 รูปี
Nahargarh Fort ป้อมปราการที่เหมาะสำหรับการมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่สุด เพราะอยู่ในจุดที่สูงสุดของเมือง ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานของศัตรู แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปได้ถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่ท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจของผู้คน
มุมนี้คือต้องมองลอดช่องหน้าต่างกำแพงออกไปนะ ซึ่งมันสวยมาก มองเห็นบ้านเรือนเยอะแยะมากมาย
เสียดายช่วงเราไปโดนห้ามเยอะมาก โน่นก็ปิด นี่ก็ไม่ให้ไป เอาจริงคือไม่คุ้มค่าเข้าเลย
บ้านของคนที่นี่ส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายๆกัน บางหลังก็ทาสีบางหลังก็ไม่ทาแต่ทุกหลังจะดูเหมือนบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเค้าไม่ยากจ่ายค่าภาษีโรงเรือนนั่นเอง
ค่าเข้า 202 รูปี
Townsend – Kitchen & Bar ร้านอาหารบรรยากาศดีในตัวเมือง เราค้นพบที่นี่ด้วยความบังเอิญ ชอบการตกแต่งในทุกมุม แนะนำให่มาทานมื้อเย็น เพราะช่วงที่ร้านเค้าเปิดไฟคือช่วงที่ร้านนี้บรรยากาศดีที่สุดแล้ว
สำหรับอาหารมีให้เลือกหลากหลาย รสชาติโอเค ไม่อินเดียจ๋าจนเกินไป
เปิด : 12.00 – 01.00 ทุกวัน
Rajmahal Palace RAAS Jaipur ความตั้งใจแรกของเราคือการหาโรงแรมสวยๆเข้าไปนั่งจิบชาแบบมหารานีท่านหนึ่ง ก็เลยจิ้มเลือกที่นี่เพราะความน่ารัก ชมพู๊ชมพูของเค้านี่ละ
นี่คือรอบๆโรงแรมที่พอเราจอบชาเสร็จสามารถมาเดินเล่นได้หรือให้พนักงานพามาทัวร์ก็ได้เช่นกัน
ส่วนฝันของเราสลายลงเพราะห้องจิบชาสีฟ้าที่อยากมามากๆมันปิดจ้า เลยต้องย้ายมานั่งห้องนี่แทน เอิ่ม! มันไม่พาสเทลเอาซะเลย มันชมพูแบบตะโกนมา แบบขำตัวเอง 555
เซ็ตชาที่นี่ราคา 2,000 รูปี/ชุด/คน เติมได้เรื่อยๆ
Gulab Ji Chai Wale อยากจิบชาแบบดั้งเดิมต้องมาร้านนี้ ตัวชามีกลิ่นหอมละมุนทานง่ายเราสั่งมาพร้อมขนมปังทาเนยไส้ซาโมซ่า ก็เข้ากันนะ
Fairmont Jaipur Hotel ที่พักที่หนึ่งในใจของเรา มันสวย มันเริ่ด มันอลังมากคุณ ความประทับใจแรกเริ่มตั้งแต่ประตูทางเข้ามีการโปรยดอกกุหลาบ welcome พร้อมกล้องและเครื่องดนตรีบรรเลงพร้อมๆกัน จากทางเข้ายาวมายันส่วนล็อบบี้มีดีเทลซ่อนอยู่ตลอด
เราพักห้อง King Room ส่วนตัวชอบมาก เพราะด้านในแบ่งออกเป็น 2 โซนหลังคือ ห้องนอนและห้องน้ำซึ่งขนาดใหญ่พอๆกัน มีโซฟานุ่มๆไว้นอนมองวิวด้านนอกแถมตอนเข้ามายังมีการวางกลีบดอกไม้เป็นทางเดินเข้าห้องให้อีกด้วย ดี๊ดี
ที่นี่มีทั้งบาร์สีขาวขนาดใหญ่ ห้องอาหารสุดหรู สปา ร้านตัดผม ร้านขายของ ยาวไปจนถึงสระว่ายน้ำที่แค่มองด้วยตาเปล่าก็ประทับใจ
ที่นี่โลเคชั่นอยู่ไม่ไกลจาก Amber fort สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตที่มีชื่อเสียงในชัยปุระ แม้ด้านนอกจะวุ่ยวายแค่ไหน แต่พอย่างก้าวเข้ามาด้านในโรงแรมแล้วเหมือนเป็นอีกโลก เต็มไปด้วยความเงียบสงบ ลัคชู และอาหารที่กล้าสั่งและกล้ากินไปหมด 555
Hyatt Regency Jaipur Mansarovar อีกหนึ่งที่พักสวยแต่แอบไกลไปนิด ตัวโรงแรมมีขนาดใหญ่ สะอาด และอลังการเช่นกัน
บริเวณนี้คือไฮไลท์หลัก สวนรูปดาว 7 แฉกพร้อมน้ำพุตรงกลางซึ่งจุดนี้จะเห็นนกบินมากินน้ำอยู่ตลอดทั้งวันเลย
เราพักห้อง King Room การตกแต่งคล้ายๆบ้านเรามาก แบ่งสัดส่วนชัดเจน สะอาด แถมอาหารโรงแรมอร่อย เพราะเราสั่ง Room Service กินทุกวัน 555
จริงๆที่นี่ยังมีทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส ร้านอาหาร แต่เราไม่ได้ถ่ายมาให้ดู เพราะมีเวลาในโรงแรมน้อย มัวแต่ตะลอนเที่ยวในเมือง 555
#การทำVISA
เที่ยวอินเดียต้องใช้วีซ่านะคะ สามารถทำออนไลน์ได้ที่ลิ้งค์นี้ https://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html
วันเดียวก็อนุมัติแล้วง่ายมากๆ ถ้าไม่ผ่านก็แค่ส่งไปใหม่ชิลๆ
#การเดินทาง
เราบินกับ Air Asia บินตรง ดอนเมือง – ชัยปุระ (ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงกว่าๆ)
ชอบความพื้นที่กว้าง ไม่เมื่อย นั่งชิลๆแปปเดียวก็ถึง
#รถเช่า
การเดินทางในชัยปุระจริงๆมีให้เลือกหลายแบบ Rickshaw (ตุ๊กๆบ้านเรา) UBER
หรือจะเป็นเช่ารถพร้อมคนขับก็สะดวกดี เราเลือกเที่ยวแบบสบายๆ เช่ารถพร้อมคนขับ
ของ Ranthambore Tour Cab คนขับพูดภาษาอังกฤษได้ ภาษาไทยก็ได้
การมาเที่ยวอินเดียที่หลายคนส่ายหน้า แต่สำหรับเรายังยิ้มให้เช่นเคย
ความน่ารักของคนแม้จะเฟรนลี่เกินไปหน่อยแต่ก็รับได้
ความสวยงามของสิ่งก่อสร้างที่เห็นกี่ครั้งก็ยังคงตาโตอยู่ตลอด
อาหารที่คิดว่าไม่ไหว สุดท้ายอร่อยกว่าที่คิด
ความอิหยังวะระหว่างเดินทางพอผ่านไปมันก็น่าตลกดี
นี่สินะที่เค้าเรียกว่าสีสันของการเดินทาง
เพราะบางทีระหว่างทางที่เราไม่ได้หยิบกล้อง ไม่ได้ตั้งใจ มันก็อาจจะน่าจดจำกว่าจุดหมายปลายทางก็ได้
ทริปหน้ายังคงอยู่ที่อินเดีย เราจะพาไปเมืองอัครา กัน!
No Comments